ผลไม้แอปเปิ้ลมีวิธีการทานอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

สำหรับผลไม้ยอดนิยมที่ผู้คนมักเลือกบริโภคกันไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่อย่าง ผลไม้แอปเปิ้ล นั้น มีวิธีการบริโภคอยู่มากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะทานแบบผลสด น้ำมาใส่ในขนม จานอาหาร จานสลัด นำมาเป็นส่วนประกอบในจานอาหาร เช่น ทำซอส ทำซุป เป็นต้น หรือจะนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

แต่รู้หรือไม่ว่าการบริโภคผลไม้แอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้นต้องมีวิธีการบริโภคอย่างไร วันนี้เราจึงขอนำเสนอ วิธีการทานอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้ง

ทานผลไม้แอปเปิ้ลอย่างไรถึงจะดีที่สุด

การทานผลไม้แอปเปิ้ลให้ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการที่ผู้บริโภคเลือกทาน โดยสามารถทานแอปเปิ้ลได้หลายวิธี เช่น

  • ทานแอปเปิ้ลเปลี่ยนมือโดยไม่ตัดเป็นชิ้น : ผลไม้แอปเปิ้ลมีเนื้อที่หนาและกรอบ การทานแบบนี้จะช่วยให้คุณได้รับใยน้ำและใยอาหารจากผิวสมบูรณ์
  • ทานแอปเปิ้ลตัดเป็นชิ้น : การตัดแอปเปิ้ลเป็นชิ้นจะช่วยให้คุณทานได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยสามารถเอาแอปเปิ้ลตัดเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปรวมกับโยเกิร์ตหรือครีมชีสเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • ทำเป็นผลไม้สดกับผักผลไม้ผสม : ผู้บริโภคสามารถทำเป็นสลัดผักผลไม้ผสมกับแอปเปิ้ลสด เพื่อให้ได้รับใยอาหารที่เพียงพอและหลากหลาย
  • ปรุงอาหาร : แอปเปิ้ลสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเช่น ทำเป็นแกงหรือทอดเป็นขนมแอปเปิ้ล ซึ่งจะช่วยเพิ่มรสชาติและความสนุกสนานให้กับการทานผลไม้แอปเปิ้ล

การเลือกทานแอปเปิ้ลให้ดีที่สุดควรเลือกผลแอปเปิ้ลที่สดใหม่และไม่มีรอยแตกหรือเน่าเสีย นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรล้างผลไม้แอปเปิ้ลให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงสารพิษต่างๆ ที่อาจตกค้างอยู่บนผลแอปเปิ้ลได้

จำเป็นต้องปอกเปลือกผลไม้แอปเปิ้ลก่อนรับประทานหรือไม่

คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องปอกเปลือกผลไม้แอปเปิ้ลก่อนรับประทาน เนื่องจากเปลือกของแอปเปิ้ลมีใยอาหารสูงและมีสารอาหารสำคัญอย่างสูง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เส้นใยอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือด รวมถึงเป็นแหล่งของวิตามิน C ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการดูแลสุขภาพของเหงือกและฟัน

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการล้างแอปเปิ้ลก่อนรับประทาน คุณสามารถใช้น้ำเปล่าล้างแอปเปิ้ลก่อนทาน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารล้างจานหรือสารเคมีอื่นๆ ที่อาจทำให้สารพิษตกค้างในผลไม้ได้ แต่ถ้ามีแผลหรือรอยทำลายบนผิวแอปเปิ้ล ควรตัดออกก่อนทานเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ในภายหลัง